หลังจากที่มีการประกาศว่าจะมีงาน Head in the Clouds III ปลายปีนี้ ที่ Pasadena, CA ชาว 88rising ก็ไม่รอช้า นัด Nifty ให้มาร่วมพูดคุยกับสามศิลปินเจ้าของเพลง ‘California‘ ผู้นำทีมคอนเสิร์ตครั้งนี้ ทั้ง NIKI, Rich Brian และน้องใหม่ของค่าย Warren Hue ให้มาบอกเล่าถึงประสบการณ์การมาตามฝัน เพื่อเป็นดาวในดินแดนที่ไม่คุ้นเคยอย่างอเมริกา โดย press conference ครั้งนี้ดำเนินรายการโดย Ollie Zhang หัวหอกแห่ง 88rising ที่ชวนศิลปินพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง
พูดถึงการร่วมงานด้วยกันในเพลง ‘California‘ หน่อย
ไบรอัน: เพลงมาจากบีตก่อน แล้วพวกเราทำงานแยกกัน ผมไม่แน่ใจว่านิกกี้เริ่มเห็นหรืออยากใส่ตัวเองลงไปในท่อนไหน แต่ผมโยนตัวเองเข้าไปเลย ผมพูดถึงชีวิตตัวเอง จากที่พวกเราย้ายจากอินโดนีเซีย มาอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย
นิกกี้: ใช่ เราเขียนแยกกัน ใช้ประสบการณ์ที่ต่างกัน
วอเรน: เราสนุกมากในการทำเพลงนี้
ขั้นตอนการทำงานในเพลง ‘California’ ต่างกันยังไงกับครั้งก่อน ๆ
นิกกี้: เราเคยทำเพลงด้วยกันไม่เกิน 3-4 เพลง รู้สึกว่าไม่ได้ต่างขนาดนั้น ทุกครั้งที่เราคอลแลบกัน เราก็เขียนท่อนของตัวเอง งานที่แล้วใน ‘Head in the Clouds II’ ฉันก็แค่เขียนเวิร์ส แล้วส่งไปให้เขา
ไบรอัน: เราไม่เคยอยู่ในห้องเดียวกันเลยตอนเขียนเพลง
นิกกี้: น่าสนใจตรงนี้แหละ
วอเรน: ชอบที่พวกเราสามคนต่างกันหมดเลย แล้วเราสามารถสร้างความกลมกล่อมระหว่าง 3 ศิลปินร่วมกันได้ เอาทุกอย่างมากองรวมกันแล้วดูเป็นหนึ่งเดียว
นิกกี้: ตอนได้ยินบีตที่ยังไม่ค่อยเยอะ มันดูเท่มาก แล้วฉันก็ลุยเลย มันมีบางอย่างที่ดูพิเศษและแตกต่าง ฉันน่าจะเป็นคนแรกที่เขียนเวิร์ส เขียนออกมาหลายแบบ ไม่เหมือนกัน แล้ววอเรนก็ทำต่อ มันแปลกมากที่แต่ละเวิร์สของแต่ละคนที่เขียนมามันเชื่อมโยง เกี่ยวโยงกันไปหมด ฉันเลยต้องไปแก้เวิร์สแรกที่เขียนให้เข้ากับทุกคนเพื่อให้มันบาลานซ์กันทั้งหมด
ไบรอัน: เวิร์สของแต่ละคนที่ต่างกันก็จริง แต่พอให้อีกคนนึงมาร้องด้วยแล้วมันดูดีกว่าที่จะมีแค่ส่วนเดียวของผม
อ่านเพิ่ม Rich Brian, NIKI, Warren Hue ปล่อยซิงเกิลใหม่ California
NIKI บอกว่าเนื้อเพลงในส่วนของคุณมีความสำคัญกับคุณมาก ช่วยพูดถึงเนื้อหาตอนนั้นได้ไหม
นิกกี้: ฉันดูหนังเยอะมากตอนกักตัว แล้วฉันก็รู้สึกว่าพวก anti-hero มีพลังดึงดูดฉัน ฉันว่าเขามีความซับซ้อนในตัวเอง และทำให้ฉันรู้ว่าจริง ๆ ฉันมองตัวเองยังไง ฉันมองตัวเองเป็น anti-hero …ไม่ได้ตลอดเวลานะ แต่แบบ วิธีคิด หรือมุมมองอะไรแบบนั้น มันก็มีความน่าสงสัยอยู่ว่ามึงทำแบบนั้นไปทำไมวะ ซึ่งมันตรงกับฉันในบางอย่างที่ฉันคิดจะทำสิ่งนี้เพื่อตัวฉันเอง แต่ไป ๆ มา ๆ ฉันกลับพ่ายแพ้ให้กับการกระทำของตัวเองซะอย่างนั้น จนทำให้เราคิดได้ว่า ทุกคนคงมี love-hate relationship กับตัวเอง เหมือนกับที่เราทั้งรักทั้งเกลียด anti-hero
เล่าถึงมิวสิกวิดิโอ
วอเรน: มันเป็นอะไรที่รู้สึกอบอุ่นมากครั้ง เป็นวิดิโอที่ได้นำเสนอวัฒนธรรมเอเชียน การที่พวกเราเป็นคนอินโด มีทั้งงานศิลปะ และขนมจากประเทศเราอยู่ในนั้น เป็นการถ่ายทำที่สนุกมาก เป็นธรรมชาติมาก ๆ เหมือนเป็นหนังจริง ๆ ผมชอบที่เราได้ทำอะไรในแบบนั้น พวกเราเจ๋งมากครับ (หัวเราะ)
นิกกี้: เหมือนเป็นการนำเสนอการเป็นคนเอเชียนในอเมริกา มีเรื่องทั้งเอเชียนรุ่นแรก รุ่นสอง ที่เริ่มมีความเป็นอเมริกันแล้ว ฉันชอบฉากนึงมาก ที่พ่อลูกเล่นปาบอลกันหน้าโรงจอดรถ มันเป็นภาพที่อเมริกันมาก ๆ กับการทำกิจกรรมแบบนี้ แต่ในวิดิโอเราเป็นพ่อลูกที่เป็นเอเชียนน่ะค่ะ
California มีความหมายกับแต่ละคนยังไง
วอเรน: ตอนเด็ก ๆ โตมา ดูหนังกับพ่อแม่ แล้วซีนผมเห็นบ่อย ๆ มันคือ American Dream นั่นคือภาพของ LA ที่ผมเห็น มันเจ๋งมากครับ จนพอได้มาอยู่ที่นี่ แต่ละอย่างที่เป็นแคลิฟอร์เนียมันสวยงามมาก ผมดีใจที่ตื่นมาแล้วได้เห็นภาพแบบนี้ทุกวัน มันเป็นสิ่งที่วิเศษในชีวิตผม ทั้งทิวเขา บรรยากาศต่าง ๆ ของที่นี่
นิกกี้: ฉันไม่ได้ตั้งใจจะย้ายมาหรอก แต่พอดีตอนนั้นกำลังเรียนมหาลัยอยู่พอดี แล้วก็ต้องไป ๆ มา ๆ LA ตลอด จนสุดท้ายย้ายมา… ก็ชอบอากาศ ชอบบ้านของฉัน
ไบรอัน: อยากมา LA ตั้งนานแล้ว ตอนนั้น 15-16 ก้ได้ทำงาน 88rising แค่ตอนนั้นยังอยู่อินโดเพราะยังไม่ได้วีซ่า แล้วก็คล้าย ๆ วอเรน ผมดูหนังแล้วรู้สึกอยากมาที่นี่มาก แล้วผมรู้สึกว่าการเป็นคนอินโดที่ได้มาอยู่ที่นี่ มันไม่ได้ง่าย ๆ ก็รู้สึกพิเศษมากครับ ตอนนี้ก็พยายามจะค้นพบอะไรใหม่ ๆ ที่นี่ให้ได้ทุกวัน
คุณได้เห็นเพื่อนคนอื่น ๆ ที่เคยร่วมงานกันเติบโตขึ้นยังไงบ้าง
ไบรอัน: ผมว่ามันน่าตื่นเต้นที่ได้เห็นทุกคนเติบโต ตั้งแต่พวกเราเริ่มทำเพลง ตั้งแต่มาเข้า 88rising มันเจ๋งอะเราได้ประสบการณ์เยอะมาก ได้นอนใน airbnb เจอผู้คน มาอยู่ที่ LA เราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วก็ชีวิตมีจังหวะทั้งขึ้นทั้งลง ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของทุกคน แล้วก็ดีใจที่ได้เห็นชีวิตของทุกคนอยู่ในวงการเพลง
นิกกี้: ฉันน่าจะย้ายมาปีเดียวกัน เราพูดภาษาเดียวกัน และไบรอันก็เป็นเพื่อนรักของฉันค่ะ
2020 มีหลายสิ่งเกิดขึ้นเยอะมาก มันทำให้คิดเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
วอเรน: โห เรื่องการปรับสมดุลของชีวิตเลยครับ มาอยู่นี่ใหม่ ๆ คือ home sick ต้องปรับตัว คิดถึงธรรมชาติมาก…. ก็เป็นความยากที่จะบาลานซ์เรื่องเพื่อน กับครอบครัวที่บ้าน ผมเคยคิดว่าจะไม่มีเพื่อนเลย จะไม่รู้จักใครเลย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่คนมาอเมริกาทุกคนต้องเจอ ก็เลยเปลี่ยนมุมมองว่า อย่างน้อยเราก็จะได้เจอคนใหม่ ๆ
นิกกี้: ตอนโควิดมาทำให้เรารู้สึกว่า การทำงานในวงการนี้ทำให้คุณรู้สึกดาวน์ได้ โดยเฉพาะ เมื่อคุณต้องเจอคนมากมาย แล้วหลาย ๆ ที่คนก็มาวิจารณ์เรา ปกติฉันเป็นคนเก็บตัว พอมาเจออะไรแบบนี้ก็ช็อก ๆ เหมือนกัน ฉันไม่อยากบ่นมากนะ (หัวเราะ) แต่ฉันดีใจมากที่ได้มีโอกาสนี้ ฉันแค่เหมือนได้ค้นพบอีกด้านนึงที่ฉันต้องเจอ อย่างการได้รับคำวิจารณ์ ฉันก็รับฟัง ได้รู้ว่าโซเชียลมีเดียมันทำให้เห็นมาตรฐานของคน แล้วทุกอย่างบนโซเชียลมีเดียแม่งต้องเพอเฟกต์ตลอด ก็เลยรู้สึกว่า เออ นี่แหละชีวิต
ไบรอัน: ผมเปลี่ยนความคิดไปเลย ในปีนี้ เมื่อก่อนผมคิดว่าผมทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำ แต่มันเป็นเพราะแรงผลักดันในตัวผมที่ทำให้คิดแบบนั้น ผมอยากดังมาก ๆ อยากประสบความสำเร็จให้ได้ที่สุดที่ทำได้ แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากเป็นแบบนั้น รู้แค่มันน่าจะให้แรงบันดาลใจคนได้ สิ่งนั้นมันจะพาผมมาทำเพลง ทำศิลปะได้ในที่ตรงนี้ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้
จนตอนผมปล่อยเพลง ทุกครั้ง ผมจะคิดว่าทำไงให้มันดังกว่านี้วะ แล้วเพลงต่อไปก็อยากให้ดีขึ้นอีก เหมือนอยากให้ทำอะไรออกมาแล้วก็ต้องดีขึ้นตลอด ๆ ตอนแรกคิดไม่ถึงหรอกครับว่าเรามีการแข่งขันสูง มีศิลปินเยอะมาก ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันไม่ได้เป็นแบบที่หวังทีแรกเสมอไป มันสำคัญมากนะที่จะต้องบาลานซ์กันดี ๆ
เลยมาลองนึก ถ้าเป็นตอนผม 14-15 ผมมองว่ามันเจ๋งมากที่ได้มาอยู่จุดนี้ ตอนนั้นผมแค่ทำเพลงเพราะผมอยากทำ ไม่มีใครเอาปืนมาจ่อ มาบังคับว่าทำเพลงสิ แร็ปสิ แต่ระหว่างนั้นมันทำให้ผมลืมทุกอย่างเพราะแค่อยากเป็นคนดัง มันทำให้ลืมสิ่งเล็ก ๆ ระหว่างทางไป และตอนนี้มันเริ่มไม่มีความสุขแล้ว
ดังนั้นผมก็เลยคิดได้ว่า อย่าหลงลืมขั้นตอนระหว่างทาง ต้องโฟกัสชีวิต เพื่อน การเติบโตของตัวเอง ผมต้องกลับมาให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น ตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขกับตัวเองมากขึ้นครับ
อยากจะบอกอะไรกับตัวเองตอนวัยรุ่น
ไบรอัน: แน่นอน จงมีความสุขกับสิ่งที่นายมี และสิ่งที่นายคิดว่าสมควรจะได้รับ หลายสิ่งอันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนบางทีนายแทบจะไม่มีเวลาที่จะมาสัมผัสประสบการณ์ได้ครบทุกด้าน เรามีสิ่งที่จะต้องทำอีกเยอะ เราจะได้เล่นโชว์ที่แทบจะไม่มีใครมาดู หรือทำเพลงแล้วมีคนฟังอยู่แค่ 7 คน…
ตอนโชว์แรกผมคิดว่านี่เจ๋งมากแล้วนะ แต่ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะต้องเจออะไร ตอนสิ่งที่ไม่เป็นไปตามหวังเกิดขึ้น ผมเลยไม่ได้รู้สึกแฮปปี้แบบที่ควรจะเป็น แต่พอโตขึ้นผมเจอหลายอย่างมากขึ้น ก็พบว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นกับผมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะได้มากหรือน้อย
ฟังผลงาน Head in the Clouds II จากศิลปิน 88rising เป็นการอุ่นเครื่องก่อนได้ ที่นี่
Nulbarich ชวน Phum Viphurit ร่วมงานในเพลงสุดเย้ายวน A New Day
ชวน Wolf Alice คุยถึงอัลบั้มล่าสุด Blue Weekend พร้อมชม Live Version สุดพิเศษ
About the author
อิ๊ก พนักงานประจำที่เขียนบทความดนตรีในเวลาว่าง หรือถ้าไม่ว่างก็สันนิษฐานได้ว่าจะพบเธอที่คอนเสิร์ตหรือปาร์ตี้