สุดประทับใจกับบทเพลงจากดวงดาวแสนไกลของ Cloud Behind ใน ‘Star Tracks’ Album Launch Party

1203

ให้เวลาตัวเองได้พักฟื้นสองวัน หลังจากได้ไปสัมผัสความมันสุดประทับใจในคอนเสิร์ต Cloud Behind ‘Star Tracks’ Album Launch Party งานเปิดอัลบั้มเต็มชุดที่สองของ Cloud Behind ที่ร่วมจัดโดย Scene Seen Space และ Be a Bud ขนทัพวงดนตรีคุณภาพที่เราคิดถึงหลาย ๆ วงทั้ง Free Typewriter, Wave and So และ Summer Dress มาร่วมสร้างโมเมนต์ดี ๆ ตลอดทั้งคืนที่ Lido Connect ตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราจะเล่าบรรยากาศที่ผ่านมาให้ทุกคนได้ทบทวนกันอีกครั้ง และสำหรับใครที่ไม่ได้ไปก็จะได้มาอ่านและจินตนาการความสนุกไปพร้อมกับเรา เอ้า เริ่ม!

ขอขอบคุณภาพจาก Scene Seen Space

เวลาประมาณใกล้ ๆ ทุ่มตรง เรามาถึงโรงภาพยนตร์ที่ 2 ที่อยู่ด้านหลังของลิโด้ ผู้ชมต่อคิวเพื่อแสดงผลตรวจ ATK ก่อนรับบัตรเข้างาน ซึ่งตรงโต๊ะเช็กอินก็มีซีดี โปสเตอร์ และเสื้อของวงให้จับจองกันด้วย 

ทุกคนเดินตรงเข้าไปด้านในฮอลและนั่งลงเพื่อรอศิลปินขึ้นแสดง Free Typewriter ปรากฏตัวบนเวทีหลังจากที่ไม่ได้แสดงสดมาเป็นเวลาหลายปี เขาคนนี้กับนักร้องนำ Cloud Behind เคยร่วมโปรเจกต์เพลงโฟล์กป๊อปสุดเพลิน Gardener Twins ด้วยชื่อวงก็พอจะบอกได้ว่าทั้งคู่มีความละม้ายคล้ายกันทั้งรูปร่างและหน้าตา ถึงขนาดมีแฟนเพลงเคยทักผิดมาแล้วก็หลายครั้ง 

ผู้ชมปรบมือต้อนรับและนั่งฟังอย่างเงียบเชียบ นี่คือบรรยากาศงานโฟล์กที่เราคุ้นเคยกันดีและไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว ในวันนี้บุ๊คได้เตรียมเพลงความหมายดีที่หลายคนคิดถึงมาเล่น ทั้ง กลับมาเจอกัน, สิ่งที่ฉันต้องการ, Meadow House, Childhood และ Oceanside ซึ่งแม้แต่ละเพลงจะเป็นโฟล์กเบา ๆ แต่เขาก็ได้ใส่ไดนามิกและถ่ายทอดอารมณ์ลงในแต่ละเพลงได้อย่างเข้มข้น ท่อนโซโล่ในเพลงสุดท้ายบีบหัวใจเราแทบจะแหลกเป็นเสี่ยง ๆ เป็น 20 นาทีที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หวังว่าในโอกาสหน้าจะได้ดูโชว์ของเขานานกว่านี้หน่อย แต่แอบเห็นว่าหลังจากโชว์นี้ คุณบุ๊คน่าจะกลับมาเริ่มทำเพลงใหม่ ๆ ให้เราได้ฟังกันแล้วแหละ 

เวลาทุ่มสี่สิบ วงอดีตเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Wave and So ก็ขึ้นมาเตรียมตัว วันนี้พวกเขาได้มือกลอง Folk 9 มาช่วยเล่นให้ด้วย ส่วนตัวเราตื่นเต้นกับอัลบั้มชุดใหม่ของวงเซิร์ฟ/อินดี้ร็อกวงนี้มาก เพราะพวกเขาได้เปลี่ยนแนวเพลงไปเยอะพอสมควร ความเป็นโพสต์พังก์อบอวลกันตั้งแต่เพลงแรกที่เล่นนั่นคือ Shadow ตามด้วย Follow The Sun ซาวด์เท่ที่มีท่อนน่ารัก ๆ ช่วงท้าย และให้คนได้ช่วยร้องฮู้ฮูกันสั้น ๆ เป็นเหมือนตัวเชื่อมเข้าเพลงเก่าที่ให้กลิ่นอายเซิร์ฟป๊อปแบบ Way Hey จากอัลบั้ม Absurf และ ให้เธอได้รู้

จากนั้นพวกเขาก็ขนเพลงเพลงใหม่มาเล่นรัว ๆ อย่างเพลง The Discussion ที่แอบมีเซอร์ไพรส์ในตอนท้าย ใครจะไปคิดว่าป๊อปน่ารักยียวนเพลงนี้จะมีท่อนคลั่ง ๆ ซาวด์แตกพร่าโหวกเหวกกันในโชว์เมื่อวาน สะใจมาก ตามด้วยเพลงที่เป็นซาวด์โพสต์พังก์ 80s และมีเพลงที่เน้นเมโลดี้วิ่งไปพร้อมกับกลองลูป แน่นอน ในเพลงใหม่ Jogging ทุกคนกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน และปิดท้ายกันไปด้วยแทร็คเท่อย่าง Brutalism ช่วงโซโล่ที่ค่อย ๆ เล่นเร็วขึ้นสร้างอารมณ์เร้าไปจนจบเพลง สำหรับเราถือว่าเป็นนิมิตหมายอันน่าตื่นเต้น และเป็นก้าวสำคัญของวงที่เติบโตขึ้นในเส้นทางสายดนตรี รอติดตามต่อเลย

สองทุ่มครึ่ง Summer Dress วงดนตรีร็อกซาวด์ล้ำสมัยขึ้นเล่นพร้อมด้วยเสียงคนดูช่วยกันร้องอย่างพร้อมเพรียงตั้งแต่เพลงแรก Marie Kondo ก่อนฟรอนต์แมนจะพูดความในใจถึง Cloud Behind ว่าเป็นมิตรสหายกันมาอย่างยาวนาน ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากไปกว่านี้ พวกเขาเล่นเพลง My Sins ซึ่งจังหวะที่ร้องท่อน ‘แสงสปอตไลต์ส่องที่กูในทันใด’ สปอตไลต์บนเวทีก็สาดแสงมาจากด้านหลังของเต๊นท์แบบถูกเวลา

แล้ววงก็หยิบเพลงจากชุด Serious Music ที่ไม่ได้ฟังกันนานอย่าง Soundscape มาเล่น ต้องยอมรับว่าพอไม่มีซินธ์อุ้มทั้งเพลงแบบเมื่อก่อนทำให้เพลงนี้ค่อนข้างแปลกไป ด้วยข้อจำกัดของซาวด์ที่ถูกเซ็ตในอัลบั้มชุดใหม่ก็ทำให้ไม่สามารถเล่นแบบเดิมได้แล้ว ดังนั้นช่วงที่พักร้องเต๊นท์ก็มาเล่นซินธ์ในช่วงหนึ่ง พร้อมกับเน้นใช้ไลน์เบสโป้วขับมิติในช่วงนั้นแทน

ไม่ทันจบ เพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากนักร้องลูกทุ่งชั้นครู ระพิน ภูไท อย่าง Ui ก็เชื่อมเข้ามา พร้อมกับวิชวลด้านหลังที่เริ่มปั่นประสาทขึ้นเรื่อย ๆ ต่อกันติด ๆ กับ The Beatles Fever ที่แฟนเพลงช่วยกันร้อง พร้อมกับท่อนโซโล่กีตาร์ของแนทที่ยังสร้างอารมณ์ในเพลงนี้ได้ถึงเครื่อง ตามด้วยเพลงสนุก ๆ 1979 และ แพ้ทอม ที่ไม่ว่าจะเล่นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ใจคนดูไปตามระเบียบ

แล้วก็ถึงเวลาของวงหลักของงาน สมาชิก Cloud Behind เดินขึ้นเวทีในลุคชุดขาวล้วนแบบในมิวสิกวิดิโอ เสพเวลา พร้อมกับเพลงเปิดตัว CB ST022022 แทร็คแรกจากอัลบั้ม Star Tracks เหมือนเป็นสัญญาณว่าพวกเขาพร้อมพาเราออกเดินทางไปสู่ดวงดาวในอวกาศอันไกลโพ้นกันแล้ว เริ่มกันด้วย Healthy Love อินดี้ร็อกสนุก ๆ อารมณ์แฮปปี้ชวนโดดกันตั้งแต่เพลงแรก ตามด้วย เสพเวลา ซิงเกิ้ลเปิดตัวของพวกเขาที่เน้นไลน์เบสสวย ๆ  ยังคงมีซาวด์คล้ายคลึงกับผลงานช่วงแรกของวง และอัพบีตกันด้วย พักก่อน แต่ความมันของดนตรีนี่ไม่ได้ให้คนดูพักกันเลย ก่อนหน้านี้เราเคยรีวิวไว้ว่าถ้าเอาเพลงนี้ไปเล่นสดจะต้องสนุกมาก แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ 

จบเพลง ตวน ก็กล่าวทักทายคนดูอย่างเป็นกันเอง แล้วเล่นเพลงซึม ๆ ให้ได้รีเซ็ตอารมณ์กันในเพลงสุดซึม โลกส่วนตัว ฟังไปแล้วก็ emotional ขึ้นมาในทันที ไหน ๆ จะดิ่งกันแล้วก็ไปต่อที่ เทา เพลงสุดเศร้าของวงที่เป็นเพลงโปรดของใครหลาย ๆ คน ต่อด้วยเพลงคนเกเร ๆ เหงากันแบบชูเกซเซอร์ใน ก่อนปีใหม่ ทำเอาเราโยกสุดตัว และจากนั้น ตวนก็เปรยขึ้นว่าเพลงต่อไปจะมีแขกรับเชิญพิเศษที่ไม่ได้บอกในไลน์อัพ นั่นก็คืออิ๊ก นักร้องนำจาก Kunst ที่ได้ไปช่วยร้องคอรัสเพลงนึงในอัลบั้ม เมโลดี้เปี่ยมด้วยความหวังของเพลง เสียงของดวงดาว บรรเลงนำไปก่อนที่พวกเขาจะเริ่มร้องเพลง เพื่อนใจ แทร็คช้าสุดเพราะในอัลบั้มไปพร้อมกัน เสียงประสานของทุกคนรวมถึงอาร์ม มือซินธ์/เพอร์คัสชัน ขับกล่อมคนดูในฮอลกันไปในช่วงเวลาหนึ่ง

แต่ไหน ๆ ชวนมาร้องทั้งที ร้องเพลงเดียวคงไม่พอ ต่อคัฟเวอร์อีกสักเพลงใน 1979 งานคลาสสิกจากวงโปรดของพวกเขา The Smashing Pumpkins ที่ถูกเอามาเล่นในจังหวะเร็วขึ้น โดยมีตาปี มือกีตาร์อีกคนร่วมร้องด้วย ความมันหวดบรรเลงอย่างต่อเนื่องพร้อมคนดูโดดตามกันแบบคึกคัก

แม้แขกรับเชิญจะลงจากเวทีไปแล้ว แต่ความสนุกยังอยู่ เมื่ออีกงานเท่ Ghost Town เสิร์ฟความมันต่อเนื่อง พร้อมด้วยเพลง ปิศาจร้าย ในสไตล์นีโอไซเคเดเลียผสมกับโพสต์พังก์จาง ๆ คุ้น ๆ ว่าช่วงนี้มีคนบอดี้เซิร์ฟกันด้วย บอกเลยเดือดจริ๊ง

พักเบรกหลังเพลงนี้ ป่าน มือเบส กับ เอก มือกลองเดินลงจากเวทีและให้อาร์มกับตาปีบรรเลงกีตาร์โปร่งในเพลงที่ครบรอบ 10 ปีพอดีในปีนี้ ภวังค์ อีกงานสุดเพราะที่เรียบเรียงออกมาได้งามทั้งเนื้อเพลงและทำนองถูกบรรเลงออกมาทำเอาหลายคนใจพองโต ซึ่งนี่น่าจะเป็นเพลงที่ทำให้หลายคนได้รู้จักกับวง อีกทั้งยังไม่ค่อยถูกนำไปเล่นงานไหนบ่อยนัก ถือเป็นกำไรของคนดูจริง ๆ เพราะเราเองก็ไม่คิดว่าจะได้ฟังเพลงนี้เหมือนกัน คนดูบางส่วนหยิบมือถือขึ้นมาเปิดไฟและโบกไปตามจังหวะเพลง แล้วก็เป็นเพลง Daylight งานอะคุสติกฟังสบายที่ทำให้บรรยากาศของงานสว่างสดใสสมชื่อเพลง

ตวนจะกล่าวขอบคุณผู้จัดงานและคนดู พร้อมพาออกเดินทางต่อไป เริ่มกันด้วยเพลง ฝันจำลอง อีกเพลงเพราะจากอัลบั้ม self titled ของพวกเขา และในเมื่อเป็นโค้งสุดท้ายของโชว์ วงก็เล่นเพลง ในอวกาศสีดำ ซึ่งน่าจะเป็นไคลแมกซ์ของงานเพราะวิชวลด้านหลังถูกทำให้เป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนับพันซึ่งเข้ากับอารมณ์ของเพลงมาก ๆ และจบไปด้วยเพลง Anniversary ที่เนื้อหาแทนคำขอบคุณทุกคนที่คอยสนับสนุนพวกเขามาเสมอ

ไม่ทันที่สมาชิกวงจะบอกลาและเดินลงจากเวที คนดูก็พากันร้องอังกอร์กันเสียงดัง นั่นเลยทำให้พวกเขากลับขึ้นมาเล่นต่อในเวลาสั้น ก่อนจากไปพวกเขาหยิบเพลงดังของวงกลับมาเล่นอีกครั้งใน ลาฝัน ที่ทุกคนร้องตามกันได้ แล้วจึงเป็นเพลง ใจ ที่ถูกเล่นเป็นเพลงสุดท้ายงานจากชุดที่แล้ว มีคนตะโกนร้องคำว่า ใจ ตาม เป็นภาพที่สนุกและอบอุ่น เชื่อว่าแฟนเพลงหายคิดถึงแน่นอน (โดยเฉพาะกับตาปีคือมีชาวแก๊งสุดคึกมาร่วมโยกให้กำลังใจหน้าเวที ใครได้ร่วมเต้นไปกับแก๊งนี้คือสนุกชัวร์ ชอบ ๆๆๆๆ)

สำหรับเรา Cloud Behind ถือเป็นไม่กี่วงไทยในปัจจุบันที่สามารถเขียนเนื้อร้องไทยได้เปี่ยมความหมาย อย่างที่เรารู้กันว่าการเขียนเนื้อเพลงภาษาไทยเป็นอะไรที่ยากมากเพราะต้องคำนึงถึงฉันทลักษณ์เต็มไปหมด แต่วงนี้เขาก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เพลงไหนที่สื่อสารตรงไปตรงมาก็ยังมีการเลือกใช้คำได้สละสลวย บางเพลงก็เขียนมาได้ไพเราะราวกับบทกวี แล้วพาร์ตดนตรีที่ถือเป็นตัวดำเนินเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เมื่อเอาเนื้อเพลงมาวางประกอบกันแล้วก็กลมกล่อมสอดคล้องกันเสมอ ถือเป็นอีกวงความหวังของวงการดนตรีนอกกระแส

สุดท้าย ต้องขอแสดงความยินดีกับ Cloud Behind อีกครั้งที่ได้ปล่อยอัลบั้มใหม่อย่างเป็นทางการและครบถ้วนกระบวนความเป็นที่เรียบร้อย ดีใจกับวงที่มีแฟนเพลงที่น่ารักให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และเดินทางมาร่วมงานสำคัญกันอย่างคับคั่งแม้สถานการณ์โควิดจะน่าเสี่ยงก็ตาม หวังว่าอัลบั้มชุดหน้าเราจะได้ฟังเพลงเพราะ ๆ และได้มาร่วมอยู่ในช่วงเวลามหัศจรรย์แบบนี้กันอีก

About the author

อิ๊ก พนักงานประจำที่เขียนบทความดนตรีในเวลาว่าง หรือถ้าไม่ว่างก็สันนิษฐานได้ว่าจะพบเธอที่คอนเสิร์ตหรือปาร์ตี้